วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

พระราชวังแวซายน์ มรดกโลกตะวันตก



พระราชวังแวซายส์ มรดกโลกตะวันตก 
( Château de Versailles )



บทนำ
         พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส และเป็นพระราชวังที่ถูกจัดเป็นแหล่งมรดกโลกที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส สร้างขึ้นโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1661 (พ.ศ. 2204) รูปแบบของศิลปะและสถาปัตยกรรมเป็นแบบ บาโรคและรอคโคโค



ที่ตั้งและภูมิลำเนา
         พระราชวังแวร์ซายส์  เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย



ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
         เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง ภายในพระราชวังมีภาพวาด ภาพแกะสลักซึ่งแสดงให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายสมัยสถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับอเมริกาในปี ค.ศ 1783 แวร์ซายส์ นับเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันที่ก่อให้เกิด  การปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1789 ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ได้เปลี่ยนสภาพพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และใช้เป็นสถานที่ลงนามในสัญญาสงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมัน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919



นอกจากเครื่องประดับที่เก่าแก่ และสูงค่าแล้ว การจัดสวนก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างดงามยิ่งนัก เพราะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสวยงามมาก โดยเฉพาะตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ส่วนที่เป็นป่าสำหรับล่าสัตว์ปัจจุบันใช้เป็นที่ๆให้ผู้เข้าชมไปเดินเล่น พักผ่อน และมีม้าหินให้นั่งเล่นเป็นระยะๆ

การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎร ชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย "กิโยติน" ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแก่ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมความสวยงาม หากนับเวลาตั้งแต่ก่อสร้างเสร็จ พระราชวังแห่งนี้ก็มีอายุยืนนานถึง 300 ปีเศษ ที่ยังคงความงามอยู่ได้โดยไม่เสื่อมคลาย พระราชวังแวร์ซายส์ได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่ประเทศอียิปต์                               



ผู้สร้างและอายุสมัย
         ผู้ที่ก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์  ที่งดงามแห่งนี้  คือ  พระเจ้าหลุยส์  ที่ 14 ของประเทศฝรั่งเศส  พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1661(พ.ศ. 2204)  ภายหลังจากที่พระราชวังแห่งใหม่สร้างเสร็จ  พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ย้ายเข้ามาพำนักในพระราชวังแห่งนี้  และโปรดให้บรรดาข้าราชบริพารย้ายเข้ามาอยู่ใกล้ ๆกับพระราชวัง



รูปแบบของศิลปะและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
         รูปแบบศิลปะและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม คือโดยการนำเอาศิลปะบารอกและรอกโกโก (Baroque and Rococo Art) 
ศิลปโรโคโค (ภาษาอังกฤษ:Rococo) หรือบางครั้งก็เรียกกันว่า "ศิลปแบบหลุยส์ที่ 14" (Louis XIV Style) ศิลปโรโคโคเริ่มพัฒนามาจากศิลปฝรั่งเศส และการตกแต่งภายในเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 ห้องที่ออกแบบแบบโรโคโคจะเป็น เอกภาพ คือทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ไม่ว่าจะเป็นผนัง เฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องประดับ จะออกแบบเพื่อให้กลมกลืนกันอันหนึ่งอันเดียวกันมิใช่จะอิสระต่อกัน คือไม่มีสิ่งใดในห้องนั้นที่นอกแบบออกมา ภายในห้องจะมีเฟอร์นิเจอร์ที่หรูหราและอลังการ รูปปั้นเล็กๆแบบประดิดประดอย ภาพเขียนหรือกระจกก็จะเป็นกรอบลวดลาย และพรมแขวนผนัง ที่ถ้าแยกอะไรออกมาก็จะทำให้ห้องนั้นไม่สมบูรณ์แบบ ศิลปโรโคโคมาแทนด้วยสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิค




คำว่าโรโคโคมาจากคำสองคำผสมกัน คำว่า rocaille จากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึงศิลปะการตกแต่งที่ใช้ลวดลายคล้ายหอยหรือใบไม้ และคำว่า barocco จากภาษาอิตาลี หรือที่เรียกว่า ศิลปะบาโรก ศิลปินโรโคโคจะนิยมเล่นเส้นโค้งตัวซีและตัวเอส (และ C curves)แบบเปลือกหอย หรือการม้วนต้วของใบไม้ เป็นหลัก และจะเน้นการตกแต่งประดิดประดอย จนทำให้นักวิจารณ์ศิลปะค่อนว่าเป็นศิลปะของความฟุ้งเฟ้อและเป็นเพียงศิลปะสมัยนิยมเท่านั้น คำว่าโรโคโคเมื่อเริ่มใช้เป็นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1836 เป็นภาษาพูดที่หมายความว่า โบราณล้าสมัย แต่พอมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 คำนี้ก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปโดยนักประวัติศาสตร์ศิลปะ ถึงจะมีการถกเถียงกันถึงความสำคัญของศิลปะลักษณะนี้ โรโคโคก็ยังถือกันว่าเป็นสมัยของศิลปะที่มีความสำคัญสมัยหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกแหล่งข้อมูล


ห้องกระจก(Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors) เป็นห้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดซึ่งเคยใช้เป็น ห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และใช้เป็นที่ลงนาม ในเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ห้องนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำการก่อสร้างเอง ภายในห้องประกอบด้วยกระจกยักษ์ 17 บาน เปิดออกแล้วจะเห็นสวนแวร์ซายส์อันสวยงาม

สถาปนิกสามคนนี้ต่อมาก็เป็นผู้สร้างพระราชวังแวร์ซายซึ่งก็คือ โวเลอวิคองเท ที่ขยายใหญ่ขึ้น และกลายมาเป็นวังที่มีผู้สร้างเลียนแบบกันมากในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เช่นที่มานไฮม์ (Mannheim) นอร์ดเคิร์ชเชน (Nordkirchen) และ โดรทนิงโฮลม (Drottningholm) ในประเทศเยอรมันี
การขยายครั้งสุดท้ายของพระราชวังแวร์ซายทำโดย ฌูลส์ อาร์ดวง-มองซาร์ ผู้เป็นคนสำคัญในการออกแบบ โดมเดออินแวลีด (Les Invalides) ซึ่งถือกันว่าเป็นวัดที่สำคัญที่สุดในศตวรรษนั้นของฝรั่งเศส อาร์ดวง มองซาร์ ได้รับประโยชน์จากคำสอนของฟรองซัว มองซาร์ผู้เป็นลุง ซึ่งเป็นการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนในประเทศทางตอนเหนือของอิตาลี และการใช้โดมครึ่งวงกลมบนโครงสร้างที่มั่นคงที่ดูแล้วมิได้แสดงสัดส่วนที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งก่อสร้าง จุลส์ อาร์ดวงมิได้แต่ปรับปรุงทฤษฎีของลุงเท่านั้นแต่ยังวางรากฐานการก่อสร้างแบบบาโรกลักษณะฝรั่งเศสด้วย
ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ก็เริ่มปฏิกิริยาต่อลักษณะสถาปัตยกรรมแบบพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยเปลี่ยนมาเป็นรูปลักษณะที่ละเอียดอ่อนช้อยและเป็นกันเองกว่าเดิมที่เรียกกันว่า ศิลปะโรโคโค” ผู้ริเริ่มการใช้ลักษณะนี้คือนิโคลัส พินเนอ (Nicholas Pineau) ผู้ร่วมมือกับจุลส์ อาร์ดวง มองซาร์ตกแต่งภายในวังมาร์ลี[9] (Château de Marly) ศิลปินอื่นที่สร้างงานแบบโรโคโคคือปิแอร์ เลอ โปเตรอ (Pierre Le Pautre) และ จุสต์ โอเรย์ เมซองนิเยร์ (Juste-Aurèle Meissonier) ผู้สร้าง “genre pittoresque” ภายในวังชองติลลี (Château de Chantilly) เมื่อปี ค.ศ. 1722 และโอเต็ลเดอซูบีส์ (Hôtel de Soubise) เมื่อปี ค.ศ. 1732 ซึ่งการตกแต่งที่ใช้เครื่องตกแต่งและลวดอย่างมากมายและหรูหราจนเกินเลยไป ซึ่งทำให้ลดความสำคัญทางโครงร่างของสถาปัตยกรรมการแบ่งส่วนภายในลงไปมาก

แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง
              1.หอไอเฟล (La Tour Eiffel)

สัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส และหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของโลก ซึ่งออกแบบโดย กุสตาฟ ไอเฟล” หอไอเฟลเป็นหอคอยโครงสร้างเหล็ก ตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ ใกล้กับแม่น้ำแซน
หอไอเฟลจัดเป็นสถาปัตยกรรมชั้นเลิศ สัญลักษณ์แห่งเมืองปารีสและฝรั่งเศส ผสานไว้ซึ่งความแข็งแกร่ง  สง่างาม และความวิจิตรของความเป็นปารีสไว้ได้อย่างชาญฉลาด จากการสร้างสรรค์ของกุสตาฟ ไอเฟล เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสทั้งในด้านเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีในงานเอ็กซ์โปปี ค.ศ. 1889 สร้างด้วยเหล็กกล้าร่วม 10,000 ตัน มีความสูงรวมเสาอากาศ 324 เมตร สูงเท่ากับตึก 81 ชั้น และมีบันไดถึง 1,665 ขั้น และความสูงของหอไอเฟลนั้นสามารถยืดได้หดได้ตามสภาพอากาศแต่ละวัน ด้วยความที่สร้างจากเหล็กจึงทำปฏิกิริยากับอุณหภูมิร้อนหนาวที่เข้ามากระทบ โดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นบันไดหรือลิฟต์เพื่อชมวิวกรุงปารีสจากหอไอเฟลได้ทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 - 4.00 น. โดยจะต้องเสียค่าขึ้นหอคอยตามจำนวนชั้นที่ต้องการขึ้นชม ซึ่งมีทั้งสิ้น 3 ชั้น (รายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่) ปารีสเขาก็มีมุมที่สามารถมองเห็น


            2.ประตูชัยฝรั่งเศส (L’Arc de Triomphe de l'Étoile)
อนุสรณ์สถานสำคัญของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของถนนชองป์ส-เซลีเซส์ กลางจัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกลล์ (Place Charles-de-Gaulle) หรือชื่อเดิมคือจัตุรัสเอตวลล์ (Place de l'Étoile) ซึ่งมีความหมายว่าจัตุรัสแห่งดวงดาว เพราะมีถนนถึง 12 สายมาบรรจบกันที่นี่ ทำให้มีลักษณะเหมือนดวงดาวจึงเป็นที่มาของชื่อจัตุรัส โดยประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1806 หลังจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้รับชัยชนะในยุทธการเอาสเตอร์ลิทซ์ เพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สงครามนโปเลียน ปัจจุบันเป็นสุสานของทหารนิรนาม ประตูชัยมีความสูง 49.5 เมตร กว้าง 45 เมตร และลึก 22 เมตร เป็นประตูชัยที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก การเข้าไปยังประตูชัยด้วยการเดินนั้นควรใช้ทางเดินใต้ดิน การเดินบนถนนไม่ค่อยจะปลอดภัยนัก เนื่องจากการจราจรที่คับคั่งที่บริเวณจัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกลล์ บนยอดของประตูชัยเป็นจุดชมวิวกรุงปารีสที่ดีที่สุดอีกแห่งหนึ่ง เนื่องจากสามารถมองเห็นถนนใหญ่ 12 สายมาบรรจบกันเสมือนเป็นดาวกระจาย นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปบนประตูชัยได้โดยเสียค่าขึ้นชม 9 ยูโร และขึ้นชมได้ตั้งแต่ 10.00 - 23.00 น.

                3.พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre)
พิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุด และเก่าแก่ที่สุด (เปิดตั้งแต่ปีค.ศ. 1793) และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เดิมทีตัวอาคารเป็นพระราชวังหลวง ต่อมาในปีค.ศ. 1672 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ย้ายราชสำนักไปยังพระราชวังแวร์ซายส์ กระทั่งปี ค.ศ. 1793 ภายหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสลูฟวร์จึงได้รับการบูรณะให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และได้รับการยกย่องว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมวลหมู่อาคารหลายหลัง สำหรับตัวพิพิธภัณฑ์แล้วประกอบด้วยอาคาร 3 หลังด้วยกัน แต่ละอาคารจะแบ่งประเภทงานศิลปะไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น ถ้าจะเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์แบบไม่อยากตกอยู่ในวังวนของศิลปะแบบไม่รู้จบละก็ ควรถือแผนที่ติดมือไว้และวางแผนการเลือกชมงานศิลปะแต่ละชิ้นให้ดี

                4.มหาวิหารโนทเทรอะดาม (La Cathédrale Notre-Dame)
โบสถ์ศิลปะโกธิกอันเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของฝรั่งเศสก็ว่าได้ โบสถ์สูงใหญ่คล้ายตึก 3 ชั้น สร้างด้วยหินที่ตัดเป็นชิ้นและวางเรียงกัน มีรูปแกะสลักบอกเรื่องราวของพระเยซูที่ซุ้มประตู เหนือส่วนโค้งของประตูขึ้นไป เรียงรายด้วยประติมากรรมหินสลักเป็นรูปนักบุญต่างๆ ในคริสตศาสนาขนาดเท่าตัวจริงประมาณ 27 รูป องค์เด่นที่สุดคือนักบุญแซงต์ เดอนีส์ ที่ยืนถือหางตัวเองอยู่ ภายในโบสถ์มีหน้าต่างที่ประกอบขึ้นจากกระจกหลากสี บอกเล่าเรื่องราวตามพระคัมภีร์โบราณ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในโบสถ์ได้ฟรีทุกวันตั้งแต่ 07.45 - 18.45 น. ถ้าใครอยากจะตามรอยไอ้ค่อมจอมอาภัพ (The Hunchback of Notre Dame) และปีศาจร้าย Gargoyle ที่อยู่บนหลังคาโบสถ์ จะต้องใช้ประตูฝั่งซ้ายทางด้านนอกของโบสถ์ ที่บริเวณลานด้านหน้าโบสถ์ซึ่งเรียกว่า  Place du Parvis-Notre Dame มีแผ่นทองเหลืองฝังอยู่ ตรงจุดนี้เป็นหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ของฝรั่งเศส ในการวัดระยะทางไปยังเมืองต่างๆ ทั่ว


ของที่ระลึก
        มีพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของที่ระลึกจำพวกพวงกุญแจรูปหอไอเฟล พระราชวังแวร์ซายส์ ที่หน้าประตูทางเข้าพระราชวังแวร์ซายส์



สรุป
          พระราชวังแวร์ซายส์ เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย
เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง
การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย "กิโยติน" ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ยังอยู่ในสภาพดีและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้

 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16

พระนางมารี อองตัวเนต




สิ่งที่น่าสนใจภายในพระราชวังแวร์ซายส์
             ห้องกระจก (Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors) เป็นห้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดซึ่งเคยใช้เป็น ห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และใช้เป็นที่ลงนาม ในเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ห้องนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำการก่อสร้างเอง ภายในห้องประกอบด้วยกระจกยักษ์ 17 บาน เปิดออกแล้วจะเห็นสวนแวร์ซายส์อันสวยงาม

เหตุผลที่พระราชวังแวร์ซายส์ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลก
        พระราชวังแวร์ซายส์ได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่ประเทศอียิปต์ ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้
  • เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด
  • เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
  • มีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์

บรรณานุกรม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น